ความสำคัญของการตรวจสอบมาตรฐานชั้นวางสินค้าเป็นประจำ

มาตรฐานชั้นวางสินค้าสำคัญอย่างไร ทำไมต้องตรวจสอบเป็นประจำ?

ความสำคัญของการตรวจสอบมาตรฐานชั้นวางสินค้าเป็นประจำ

เราสามารถควบคุมความปลอดภัยภายในคลังสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานได้ในทุก ๆ วัน เพียงแค่ใส่ใจรายละเอียดของการบำรุงรักษาทั้งอุปกรณ์ภายในคลังและการจัดพื้นที่ภายในให้สะดวกต่อการทำงานมากที่สุด รวมถึงสิ่งที่ขาดไปไม่ได้อย่างการตรวจสอบชั้นวางสินค้าให้มีประสิทธิภาพต่อการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างไม่มีสะดุด

แต่ทำไมการรักษามาตรฐานชั้นวางสินค้าภายในคลัง ถึงมีความสำคัญต่อการทำงาน สามารถติดตามได้ในบทความนี้

ความสำคัญของการรักษามาตรฐานชั้นวางสินค้า

การรักษาชั้นวางสินค้าให้มีความแข็งแรง และตรงตามมาตรฐานอยู่เสมอนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะมาตรฐานชั้นวางสินค้าถือได้ว่าเป็นเครื่องรับรองความปลอดภัย และการทำงานที่เหมาะสมตามข้อกำหนดภายในคลังสินค้า เพราะหากไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดี ชั้นวางที่รับน้ำหนักและทำหน้าที่จัดเก็บสิ่งของจำนวนมากก็อาจจะถล่ม ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อพนักงาน และสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล

เทคนิคการตรวจสอบมาตรฐานชั้นวางสินค้าในคลัง

รายการตรวจสอบมาตรฐานชั้นวางสินค้า

  • ตรวจสอบความสม่ำเสมอของชั้นและการจัดวางสินค้า

    การจัดเรียงและติดตั้งชั้นวางสินค้าที่ดี ควรจะต้องมีทั้งเรื่องความแข็งแรงและความมั่นคงที่สร้างความสมดุลแก่กัน เพราะถ้าหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ก็อาจจะทำให้ชั้นวางถล่มลงมาได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบมาตรฐานชั้นวางสินค้า ให้จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่เสมอ รวมไปถึงความสมบูรณ์ของแผ่นชั้นวางที่ต้องมีความเสถียร ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะช่วยป้องกันการถล่มของชั้นวางได้

  • ตรวจสอบหาสนิมบริเวณชั้นวาง

    สนิมที่เกิดจากการผุกร่อนของเหล็กหรือโลหะชนิดอื่น ๆ ที่นำมาผลิตเป็นชั้นวางสินค้า ล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การหมั่นตรวจสอบหาสนิมบริเวณชั้นวางที่อาจเกิดการกัดกร่อนจนทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักของชั้นวางลดน้อยลง ก็จำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เป็นประจำด้วยเช่นกัน เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ และไม่ได้รับการบำรุงซ่อมแซม เหล็กก็จะเริ่มเปลี่ยนสภาพ มีรอยผุกร่อนมากขึ้น จนส่งผลให้ชั้นวางถล่มลงมาได้ในที่สุด

  • ประเมินความสามารถในการรับน้ำหนัก

    หมั่นตรวจสอบให้มั่นใจ ถึงมาตรฐานการรับน้ำหนักของชั้นวางที่กำลังใช้งานอยู่ อาจอ้างอิงจากเอกสารการซื้อขายที่จะระบุสเปคความสามารถในการรับน้ำหนักของชั้นวางแต่ละอัน หากชั้นวางชั้นไหนที่รับน้ำหนักเกิน ให้รีบจัดการถ่ายโอนสินค้าแล้วนำไปจัดวางไว้ชั้นอื่นที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโอเวอร์โหลด จนเสียหายไปถึงโครงสร้างของชั้นวางได้

รายการตรวจสอบมาตรฐานโครงชั้นวางสินค้า

  • ตรวจสอบพื้นผิวและความสึกหรอจากสนิม

    หากโครงสร้างของชั้นวางเริ่มมีความเสียหายของพื้นผิว ไม่ว่าจะสีถลอก หรือถูกสนิมกัดกร่อน ให้ถือว่าเป็นสัญญาณเสี่ยงต่อมาตรฐานชั้นวางสินค้า ที่อาจส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัยในระหว่างการปฏิบัติงานของพนักงาน และอาจสร้างความเสียหายต่อสินค้าได้สูง ต้องรีบตรวจสอบเพิ่มเติม และดำเนินการซ่อมบำรุงให้รวดเร็วที่สุด

  • ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้างชั้นวาง

    นอกจากเรื่องความบกพร่องของสีและสนิมแล้ว มาตรฐานของชั้นวางสินค้ายังขึ้นอยู่กับความเสียหายในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรอยบุบ โครงสร้างบิดงอ รอยขีดข่วน ความเสียหายจากรถยกและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด หากมีระดับความเสียหายที่รุนแรง ให้รีบดำเนินการซ่อมแซมโดยทันที เนื่องจากอาจส่งผลต่อความมั่นคงของชั้นวางได้นั่นเอง

    ด้วยการตรวจสอบมาตรฐานของชั้นวางสินค้า ตามรายการทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสามารถระบุถึงปัญหา และดำเนินการซ่อมบำรุงได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บของพนักงาน สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน และการเสียเวลาจากการต้องหยุดชะงักระหว่างปฏิบัติงานได้

ประโยชน์ในการดูแลชั้นวางสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน

  • เพิ่มความปลอดภัยให้กับสินค้าและพนักงานในคลังสินค้า

  • การบำรุงรักษาชั้นวาง ช่วยทำให้ธุรกิจผ่านมาตรฐานการรับรอง

  • ช่วยลดต้นทุนค่าบำรุง รักษา และการจัดซื้อชั้นวางใหม่ก่อนเวลาอันควร

Tellus ผู้จำหน่ายอุปกรณ์คลังสินค้า มาตรฐานชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมที่ดีที่สุด

หากผู้ประกอบการท่านใดกำลังมองหาชั้นวางสินค้าคุณภาพเยี่ยม ราคาไม่แพง เพื่อใช้งานในคลังสินค้า Tellus คือ ผู้จัดจำหน่ายระบบจัดเก็บด้วยเครื่องกล และอุปกรณ์แบบอัตโนมัติคุณภาพเยี่ยม รับประกันมาตรฐานชั้นวางสินค้าระดับสากล อีกทั้งยังมีหลากหลายประเภทให้เลือกได้ตามต้องการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-643-8044

What are the types of industrial racking systems?

แชร์วิธีการเลือกชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์การใช้งาน

เจ้าของโรงงานควรรู้ การจัดสรรพื้นที่ในคลังสินค้าให้ใช้งานได้อย่างทั่วถึง คือหนึ่งในข้อคำนึงที่ต้องให้ความสนใจ แถมยังเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกชั้นวางสินค้าในคลังสินค้าให้เหมาะสมกับขนาดและลักษณะการใช้งาน พร้อมแชร์เทคนิคการเลือกระดับมืออาชีพ เริ่มต้นตั้งแต่การทำความรู้จักกับประเภทของชั้นวางไปจนถึงปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ
What are the types of industrial racking systems?

ประเภทของชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมในคลังสินค้า

เมื่อมีโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตก็ย่อมต้องมีคลังสินค้าเป็นของคู่กัน แต่การจะจัดสรรพื้นที่เพื่อให้สามารถเพิ่มความจุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีการเลือกชั้นวางสินค้าให้เหมาะสมต่อประเภทการใช้งาน เพื่อที่จะช่วยรักษาคุณภาพสินค้า และแยกหมวดการจัดเก็บได้ตามมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังช่วยให้ง่ายต่อการค้นหาและเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย โดยชั้นวางสินค้าอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. ชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่

  • Selective Rack

    หนึ่งในชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด เหมาะต่อการจัดเก็บสินค้าที่จัดวางบนพาเลท มีโครงสร้างแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ทั้งยังสามารถปรับระยะห่างของแต่ละชั้นได้มากเท่าที่ต้องการ โดยการเลือกชั้นวางประเภทนี้ จะมีข้อดีด้านการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์การจัดเก็บและเคลื่อนย้ายสินค้าที่หลากหลาย ทำให้เหมาะต่อการใช้งานกับโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าทั่ว ๆ ไป
  • ชั้นวางสินค้าแบบ Drive-In

    เหมาะสำหรับการเลือกชั้นวางสินค้าในคลังสินค้าที่มี SKU (Stock Keeping Unit) น้อย แต่มีปริมาณการจัดเก็บจำนวนมาก เพื่อบริหารพื้นที่ เพิ่มความสามารถในการจัดเก็บ อย่างไรก็ตาม ชั้นวางสินค้าประเภทนี้ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องลักษณะการจัดเก็บพาเลท เนื่องจากเป็นระบบหมุนเวียนแบบ First-In, First-Out ทำให้ต้องมีการวางแผน จัดระเบียบการลำดับสินค้าให้ดี เพื่อให้ง่ายต่อการนำออก
  • ชั้นวางสินค้าแบบ FIFO

    เป็นชั้นวางที่มีระบบลูกกลิ้งอยู่ภายในพาเลท โดยจะเคลื่อนสินค้าไปในทางเดียวกันตามแนวความลึกคล้ายกับชั้นวางประเภท Drive-In และเบิกจ่ายด้านหลังแบบระบบ First-In, First-Out อีกทั้งยังมีความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของสินค้า จึงทำให้เหมาะกับการใช้งานในคลังที่ต้องการจัดระเบียบการจัดเก็บตาม SKU รวมไปถึงสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาหรือความต้องการในการหมุนเวียนอยู่สม่ำเสมอ
  • ชั้นวางสินค้าแบบ Push Back

    สำหรับคนที่ต้องเลือกชั้นวางสินค้าสำหรับจัดเก็บสินค้าประเภทที่ไม่มีการตกรุ่น เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุ Push-Back Rack คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยการผสมผสานระหว่างชั้นวางแบบ Drive-In และ FIFO ในรูปแบบที่มีขนาดและช่วงลึกที่มากกว่า ทำให้สามารถจัดเก็บสินค้าได้จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มอุปกรณ์ถอดรับพาเลทเข้ามาในแต่ละชั้น ทำให้สินค้าที่ถูกจัดเก็บไว้ก่อนจะร่นเข้าไปด้านใน และจะเคลื่อนตัวออกมาก็ต่อเมื่อพาเลทที่วางไว้ถูกนำออกนั่นเอง
  • Mobile Rack

    เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่ต้องการลดพื้นที่และลดการสูญเสียพลังงานในการจัดเก็บสินค้า เนื่องจากชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมแบบเคลื่อนที่จะมีการใช้งานที่คล้ายคลึงกับ Selective Rack แต่สามารถเคลื่อนชั้นวางไปทางแนวซ้ายและขวา เพื่อเปิดช่องทางให้รถยกเข้าไปตักสินค้าได้อย่างยืดหยุ่น จึงช่วยทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการจัดเก็บได้มากขึ้นถึง 80% โดยจะนิยมใช้ในอุตสาหกรรมห้องเย็น
  • ชั้นวางสำหรับวัสดุยาว (Cantilever Rack)

    เหมาะสำหรับการเลือกชั้นวางสินค้า เพื่อจัดเก็บสินค้าที่มีลักษณะยาวมากหรือเป็นวงแหวน ทั้งกระดาษ ท่อ อะลูมิเนียมเส้น หลอดไฟ โดยจะเพิ่มความเป็นระเบียบให้แก่คลังสินค้า ทั้งยังมีแขนชั้นวางที่รับน้ำหนักได้ดี ทำให้จัดเก็บได้อย่างปลอดภัย และง่ายต่อการค้นหา
  • ชั้นลอย (Mezzanine Floor)

    ทิ้งท้ายของชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ด้วยชั้นลอยอเนกประสงค์ หนึ่งในอุปกรณ์ชั้นวางที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการจัดสรรพื้นที่ภายในคลังได้อย่างตอบโจทย์ ด้วยโครงสร้างเหล็กที่แข็งแรง ประกอบกับคุณสมบัติที่สามารถรับน้ำหนักได้สูง และการยกระดับจนกลายเป็นชั้นลอย ทำให้ง่ายต่อการติดตั้งและรื้อถอน พร้อมเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บหรือตัดแปลงเป็นสำนักงานภายในได้อย่างปลอดภัย

2. ชั้นวางสินค้าขนาดเล็ก

Factors to consider when choosing racking systems for a warehouse.
  • ชั้นวางแบบ Micro Rack

    ชั้นวางอเนกประสงค์ที่เหมาะสำหรับการจัดเก็บสินค้าทั่ว ๆ ไป โดยจะรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 150-250 กิโลกรัม/ชั้น อีกทั้งยังสามารถปรับระดับให้สูงเหมาะสมกับขนาดสินค้า พร้อมเพิ่มแผงปิดด้านหลังกันตกได้อย่างปลอดภัย ด้วยโครงสร้างที่เป็นแบบ Knock-Down จึงทำให้เหมาะสมต่อการใช้งานทั้งในคลังสินค้าและร้านค้า เนื่องจากง่ายต่อการติดตั้งและขนย้าย
  • ชั้นวางขนาดกลาง (Medium Shelving)

    เหมาะสำหรับการเลือกชั้นวางสินค้าที่เป็นแบบกล่องหรือลัง โดยจะมีลักษณะช่วงแผ่นที่มีความยาวมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถรับน้ำหนักได้ 200-300 กิโลกรัมต่อชั้น ประกอบกับความยืดหยุ่นในการปรับระดับความสูง จึงทำให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
  • ชั้นวางซ้อนหลายชั้น (Multi-Tier Shelving)

    นับเป็นชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่เหมาะต่อการใช้งานในพื้นที่แนวสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการเชื่อมโยงตะแกรงโดยรอบและระหว่างชั้น ประกอบกับราวกันตก ชานชาลา และบันไดสำหรับขึ้นลงที่ทำให้โครงสร้างสามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัย อีกทั้งยังถอดประกอบได้ง่าย ช่วยประหยัดพื้นที่ในแนวราบได้เป็นอย่างดี

ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อชั้นวางสินค้า

  1. เลือกชั้นวางสินค้าจากคุณภาพและประเภทของพาเลทชั้นวาง

    โดยคำนึงถึงคุณสมบัติในการรับน้ำหนักเป็นหลัก รองลงมาจึงจะมาดูขนาดและความกว้าง เพื่อให้เหมาะสมต่อการติดตั้งในและพื้นที่
  2. พิจารณาจากประเภทของสินค้า

    รวมไปถึงขนาดและน้ำหนัก เพื่อกำหนดการเลือกประเภทและขนาดพาเลทของชั้นวาง นอกจากนี้ ชนิดของสินค้ายังสามารถกำหนดการเลือกชั้นวางสินค้าได้อีกด้วย
  3. พื้นที่ในคลังสินค้า

    ทั้งขนาดประตู ความกว้าง ความยาว และความสูงของเพดาน ทั้งหมดนี้ต่างมีผลต่อการพิจารณาเลือกชั้นวางในคลังสินค้า เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ภายในได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
  4. ชนิดของรถยกสินค้าที่ใช้

    โดยจะต้องพิจารณาประกอบกันเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม ทั้งระดับความสูง และขนาดที่เป็นไปตามมาตรฐานการใช้งานร่วมกันได้อย่างปลอดภัย
  5. ระบบหมุนเวียนสินค้าในคลัง

    เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ต้องพิจารณาให้เหมาะสม โดยยึดตามจำนวนและรอบความเร็วในการหมุนเวียน เพื่อเลือกชั้นวางที่มีขีดจำกัดในการทำงานควบคู่กับรถยกได้อย่างเหมาะสม

เลือกชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐานกับ Tellus

หากผู้ประกอบการท่านใดกำลังมองหาชั้นวางสินค้าอุตสาหกรรมคุณภาพเยี่ยม ราคาไม่แพง เพื่อใช้งานในคลังสินค้า Tell us คือ ผู้จัดจำหน่ายระบบจัดเก็บด้วยเครื่องกล และอุปกรณ์แบบอัตโนมัติคุณภาพเยี่ยม มีหลากหลายประเภทเลือกได้ตามต้องการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-643-8044
Rack protection and frame barriers Damage prevention equipment in warehouse

กันชนเสา กับ ราวกันชน อุปกรณ์ช่วยลดความเสียหายในโรงงาน

Rack protection and frame barriers Damage prevention equipment in warehouse
สำหรับเจ้าของโรงงาน หรือพนักงานในโรงงาน สิ่งสำคัญนอกจากทักษะเรื่องการใช้อุปกรณ์เครื่องมือในโรงงานแล้ว อุปกรณ์ช่วยเสริมความปลอดภัยเป็นอีกสิ่งที่ควรให้ความใส่ใจในการเลือกใช้อยู่เสมอ ซึ่งอุปกรณ์กันชนเสา และราวกันชน เป็น 2 อุปกรณ์จำเป็นที่ต้องมีติดโรงงานอยู่เสมอ วันนี้จะพาไปทำความรู้จักว่า กันชนเสา กับ ราวกันชน แตกต่างกันยังไง รวมถึงวิธีเลือกซื้อให้ได้คุณภาพที่ดี

รู้จัก กันชนเสา กับ ราวกันชน แตกต่างกันยังไง?

  • กันชนเสา (Rack Post Protector)

    คืออุปกรณ์ช่วยปกป้องเสาและลดแรงปะทะต่อเสาในอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ เช่น ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มักมีการใช้งานรถขนส่งสินค้า การมีกันชนเสาจะช่วยป้องกันเสาชั้นวางไม่ให้ได้รับความเสียหายจนอาจทำให้สินค้าร่วงหล่นลงมาได้ หรือเป็นอุปกรณ์ในการจราจรอย่างลานจอด ตัวกันเสาจะช่วยป้องกันการถอยรถไปกระแทกโดนเสา หรือผนังของลานจอดรถได้ เป็นต้น
  • วัสดุที่นิยมใช้ผลิตตัวกันกระแทกเสา

    คืออุปกรณ์ช่วยป้องกันความเสียหายจากการเฉี่ยวชนในพื้นที่ต่าง ๆ เหมาะสำหรับกั้นจุดสำคัญในบริเวณที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้รถโฟล์คลิฟท์สำหรับขนย้ายสินค้าอยู่ตลอดเวลา หรือในพื้นที่ลานจอดรถที่ไม่มีเหล็กกั้น ราวกันชนจะช่วยป้องกันไม่ให้รถยนต์ถอยหรือพุ่งออกนอกพื้นที่อาคารลานจอดรถได้ เป็นต้น
กันชนเสา กับ ราวกันชน มีความแตกต่างกันที่รูปแบบและการติดตั้งสำหรับการใช้งาน แต่มีประโยชน์สำหรับช่วยลดแรงปะทะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัยให้แก่พนักงาน สินค้า และชั้นวางต่าง ๆ ได้เหมือนกัน ซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็นในสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูง อย่างในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

คุณสมบัติ กันชนเสา กับ ราวกันชน ที่ดี มีคุณภาพ คุ้มกับการใช้งาน

สำหรับการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ขนส่งสินค้า ที่มีสินค้าและชั้นวางเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีรถโฟล์คลิฟท์วิ่งอยู่ตลอด การเลือกใช้กันชนเสา กับ ราวกันชน เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยลดความเสียหายจากอุบัติเหตุ และช่วยปกป้องพนักงานจากการบาดเจ็บได้ โดยควรเลือกแบบที่มีคุณภาพดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถพิจารณาได้ดังนี้
  1. เลือกกันชนเสา กับ ราวกันชนที่ผลิตจากวัสดุที่มีความเหนียว ยืดหยุ่น และทนทาน
  2. เลือกอุปกรณ์ที่มีการพ่นสีหรือติดสติ๊กเกอร์สีเหลือง-ดำ ที่สามารถสะท้อนแสงในเวลากลางคืนได้
  3. เลือกอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติสามารถทนสนิม ทนการสึกกร่อนของน้ำ ไฟ และสารละลายได้ดี
  4. เลือกอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานโดยไม่ต้องบำรุงรักษาให้ยุ่งยาก
  5. เลือกอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานในสถานที่สำคัญอื่น ๆ ได้อีก
หากผู้ประกอบการ เจ้าของโรงงาน หรือพนักงานท่านใด ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่ช่วยลดความเสียหายจากอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัยแก่พนักงาน ที่ Tellus เราคือผู้นำนวัตกรรมการจัดการสินค้า และอุปกรณ์กันกระแทกเสา อย่างกันชนเสา กับ ราวกันชน ที่มีคุณภาพดี ราคาไม่แพง มีหลากหลายประเภทเลือกได้ตามต้องการ ตอบโจทย์โรงงานคุณ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-643-8044
7 ประโยชน์ของรถ AGV ที่ควรรู้

รถ AGV คืออะไร ดีต่อคลังสินค้าและระบบโลจิสติกส์อย่างไร ?

7 ประโยชน์ของรถ AGV ที่ควรรู้

ในยุคที่อุตสาหกรรมต้องแข่งขันกันด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ ระบบอัตโนมัติอย่าง “รถ AGV” (Automated Guided Vehicles) หรือยานพาหนะไร้คนขับ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนการขนส่งภายในคลังสินค้าให้เป็นระบบอัจฉริยะ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนแรงงานและเวลาเท่านั้น รถ AGV ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความผิดพลาด และยกระดับประสิทธิภาพโลจิสติกส์ได้อย่างชัดเจน

พร้อมพาไปทำความรู้จัก “รถ AGV” ให้ลึกมากขึ้น ตั้งแต่ความหมายว่าคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร ตลอดจนประเภทของรถที่ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม

รถ AGV คืออะไร ?

รถ AGV หรือ Automated Guided Vehicle คือ ยานพาหนะไร้คนขับที่ออกแบบมาเพื่อขนส่งและลำเลียงสินค้าโดยอัตโนมัติภายในพื้นที่ควบคุม เช่น คลังสินค้า โรงงาน หรือศูนย์กระจายสินค้า รถ AGV สามารถเคลื่อนที่ตามเส้นทางที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการควบคุม ทำให้สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างแม่นยำและปลอดภัย

ด้วยการทำงานที่อัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ รถ AGV จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่ต้องการลดต้นทุนแรงงาน ลดความผิดพลาด และเพิ่มความปลอดภัยในสายการผลิตหรือระบบโลจิสติกส์

วิธีการทำงานของรถนำทางอัตโนมัติ (AGV)

ก่อนที่รถ AGV จะสามารถเคลื่อนที่และขนส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งพาคนขับ ทุกขั้นตอนล้วนมีการควบคุมด้วยเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ทั้งในเรื่องของการวางแผนเส้นทาง การตรวจจับสิ่งกีดขวาง และการประสานกับระบบควบคุมภายในคลังสินค้า ซึ่งรถ AGV คือยานพาหนะที่สามารถทำงานได้ภายใต้การอาศัยระบบนำทางและควบคุมที่หลากหลาย เช่น

  • การนำทางด้วยเส้นแถบแม่เหล็ก (Magnetic Tape Guidance) : ระบบดังกล่าวสำหรับรถ AGV คือการนำทางโดยติดตามผ่านเส้นแม่เหล็กหรือแถบสีที่ติดตั้งบนพื้น โดยใช้เซนเซอร์ใต้ท้องรถในการอ่านและขับเคลื่อนไปตามเส้นทาง
  • การนำทางด้วยเลเซอร์ (Laser Navigation) : ใช้เลเซอร์ยิงสัญญาณไปยังตัวสะท้อน (Reflectors) ตามจุดต่าง ๆ เพื่อระบุตำแหน่งและคำนวณเส้นทางการเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ
  • การนำทางด้วย QR Code หรือ RFID : รถ AGV จะอ่านรหัสจากป้ายหรือพื้นผิว เช่น QR Code หรือบาร์โค้ด 2 มิติ ที่ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ เพื่อระบุตำแหน่ง คำสั่งการทำงาน หรือเปลี่ยนเส้นทางได้แบบเรียลไทม์ เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับผังการจัดวางบ่อย ๆ
  • การนำทางด้วยระบบ SLAM (Simultaneous Localization and Mapping) : โดยใช้กล้องหรือ LIDAR เพื่อสแกนและสร้างแผนที่แบบเรียลไทม์ พร้อมระบุตำแหน่งของตัวเองภายในพื้นที่โดยไม่ต้องพึ่งสัญลักษณ์ภายนอก
  • การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง (Obstacle Avoidance) : AGV ติดตั้งเซนเซอร์ความปลอดภัย เช่น ม่านแสง อินฟราเรด หรือเซนเซอร์อัลตราโซนิก สำหรับตรวจจับสิ่งกีดขวางและหยุดหรือเปลี่ยนเส้นทางอัตโนมัติ
  • ระบบควบคุมกลาง (Fleet Management) : รถแต่ละคันจะรับคำสั่งจากระบบควบคุมส่วนกลางเพื่อจัดการเส้นทาง เวลา และลำดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

เมื่อเริ่มปฏิบัติงาน รถ AGV จะรับคำสั่งจากระบบควบคุมกลาง (เช่น WMS หรือ MES) และเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายโดยอัตโนมัติ หากมีสิ่งกีดขวาง เซนเซอร์ความปลอดภัยจะสั่งหยุดหรือเปลี่ยนเส้นทางทันที เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

ประเภทของรถ AGV

รถ AGV คือยานพาหนะสำคัญในระบบโลจิสติกส์ปัจจุบัน จึงทำให้ในตอนนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องไปอย่างหลากหลาย จนทำให้มีประเภทของรถมากขึ้น แต่โดยหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

  1. Unit Load Vehicles เป็นรถ AGV ที่เคลื่อนย้ายสินค้าจากสถานีหนึ่งไปยังสถานีหนึ่ง โดยจะเป็นการเคลื่อนย้ายสินค้าแบบ Unit Load หรือการเคลื่อนย้ายสินค้าที่อยู่ในถุง กล่อง หรือพาเลตที่มีขนาดมาตรฐาน เมื่อถึงสถานีจะใช้วิธีเคลื่อนตัวสินค้าเข้าไปยังชั้นหรือจุดวางสินค้าแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้แรงงานคน
  2. Pallet Trucks (Forklifts) ใช้ขนส่งสินค้าที่อยู่บนพาเลต โดยจะยกสินค้าจากสถานีหนึ่งไปยังสถานีหนึ่ง รวมถึงสามารถยกขึ้นชั้นอย่างปลอดภัย มีทั้งแบบขับเคลื่อนด้วยคนและขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ
  3. Driverless Trains (Towing) ใช้ขนส่งสินค้าแบบพ่วง คล้ายกับการลากตู้รถไฟ กล่าวคือ สินค้าจะถูกวางเอาไว้บนรถเข็นที่มีล้อ จากนั้นใช้รถ AGV เป็นหัวจักรลากรถสินค้าไปยังจุดที่กำหนด
  4. Automated Guided Carts (AGC) เป็นเหมือนรถเข็นในคลังสินค้า ที่จะขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางที่กำหนดแบบอัตโนมัติ

Automated Guided Vehicle

7 ประโยชน์ของรถ AGV ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

หลายคนอาจยังสงสัยว่ารถ AGV คือ เทคโนโลยีที่เหมาะกับธุรกิจของตนเองหรือไม่ และมีข้อดีแตกต่างจากระบบขนส่งแบบเดิมอย่างไรบ้าง เพราะในความเป็นจริงรถ AGV ไม่เพียงช่วยให้การลำเลียงสินค้ากลายเป็นระบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น

ลดจำนวนการใช้แรงงาน

แน่นอนว่าการใช้รถ AGV ในการขนย้ายสินค้าแบบอัตโนมัติจะลดการจ้างแรงงานคนในส่วนนี้ ซึ่งอาจจะไม่ได้ลดการจ้างงานทั้งหมด แต่เราก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างพนักงานขนสินค้าจำนวนมาก เพื่อขนสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด

ลดความเสี่ยงของสินค้าเสียหาย

ด้วยระบบเซนเซอร์และกล้องที่ติดตั้งบนรถ AGV จึงทำให้สามารถเคลื่อนย้ายและจัดวางสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมดปัญหาเรื่องสินค้าเสียหายจากการขนย้ายด้วยกำลังคน

เพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

รู้หรือไม่ว่ามีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับพนักงานซึ่งเกิดจากการขนย้ายสินค้าจำนวนมาก มีทั้งการบาดเจ็บเล็กน้อย บาดเจ็บหนัก หรือร้ายแรงจนกระทั่งเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกรณีการตกจากชั้นวางสินค้าที่อยู่สูง การโดนรถขนสินค้าชน หรือสินค้าหล่นลงมาทับ ด้วยเหตุนี้ประโยชน์ของรถ AGV ที่สำคัญก็คือ เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินภายในคลังสินค้านั่นเอง

ราคาถูกกว่าระบบอัตโนมัติคงที่ (Fixed Automation Systems)

ผู้ประกอบการบางท่านอาจจะกำลังคิดว่า ใช้การลำเลียงสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติคงที่ หรือแบบสายพานจะมีราคาถูกกว่าหรือไม่ แท้จริงแล้วรถ AGV นั้นมีราคาโดยรวมที่ถูกกว่า ติดตั้งอุปกรณ์น้อยกว่า ประหยัดเนื้อที่ในการทำงานมากกว่าอีกด้วย

เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความผิดพลาด

Managing inventory are not just about safe material handling but also includes receiving goods inspection, categorization, storage and maintenance, shipment and inventory counting.The benefits of AGV (Automatic Guided Vehicle) vehicles are not limited to just their speed in moving goods. They also allow for inventory control, determining how much stock is remaining and saving time and costs in managing the inventory.

สามารถทำงานได้ 24/7

ประโยชน์ของรถ AGV ที่เราจะต้องยอมรับว่าแรงงานคนสู้ไม่ได้ก็คือ การสามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันใน 1 สัปดาห์ แบบไม่มีวันหยุด ไม่ต้องกังวลว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรือผิดกฎหมายแรงงาน จึงสามารถทำงานได้อย่างว่องไว ไร้ข้อกังวล

มีความยืดหยุ่นสูง

ในขณะที่สายพานลำเลียงสินค้าจะต้องกำหนดเส้นทางการขนส่งสินค้าที่ชัดเจน เมื่อติดตั้งแล้วหากต้องการจะเปลี่ยนเส้นทางก็แทบจะรื้อระบบใหม่ทั้งหมด แต่รถ AGV สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางและพื้นที่ได้อิสระตามต้องการ ไม่จำกัด

เลือกซื้อรถ AGV รุ่นที่ต้องการ เพื่อยกระดับระบบโลจิสติกส์ได้ที่ Tellus

หากผู้ประกอบการท่านใดกำลังมองหา รถขนส่งอัตโนมัติ AGVคุณภาพเยี่ยม ราคาไม่แพง เพื่อใช้ในคลังสินค้า Tell us คือ ผู้จัดจำหน่ายระบบจัดเก็บด้วยเครื่องกล และอุปกรณ์แบบอัตโนมัติคุณภาพเยี่ยม มีหลากหลายประเภทเลือกได้ตามต้องการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-643-8044

ชั้นลอยน็อคดาวน์สำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม

เพิ่มพื้นที่จัดเก็บในคลังได้มากกว่า ด้วยชั้นลอยน็อคดาวน์!

เชื่อว่าโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งคงประสบกับปัญหาสินค้าล้นหรือมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าไม่เพียงพอ แต่การขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มเติมอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงต่อการลงทุน ขอชวนผู้ประกอบการมาทำความรู้จักกับชั้นลอยน็อคดาวน์ หนึ่งในตัวช่วยหากต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในโรงงาน ให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากความคุ้มค่าที่ได้แล้วยังลงทุนไม่สูงและตอบโจทย์กับการทำธุรกิจ
ชั้นลอยน็อคดาวน์สำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม

“ชั้นลอยน็อคดาวน์” ตัวช่วยเพิ่มพื้นที่อเนกประสงค์

แก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าไม่เพียงพอ ด้วยการนำโครงสร้างชั้นลอยน็อคดาวน์ (Mezzanine Floor Knock-Down) เข้ามาปรับใช้ภายในโรงงานอุตสาหกรรม โดยโครงสร้างชั้นลอยนี้จะมีความสูงโปร่ง และถูกออกแบบมาให้สามารถประกอบและรื้อถอนได้ง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย รับน้ำหนักได้ดี และสามารถนำไปปรับใช้งานได้หลากหลายระดับ
สำหรับชั้นลอยน็อคดาวน์หากนำมาติดตั้งจะมีบันไดและราวกันตกมาให้พร้อม จึงช่วยเสริมความสะดวกสบายได้มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทุกจุดประสงค์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับการจัดเก็บอุปกรณ์ภายในคลังสินค้า, เพิ่มพื้นที่ในส่วนสำนักงานภายในโรงงาน และช่วยให้สามารถจัดวางเครื่องจักรได้มากขึ้น เป็นต้น

ชั้นลอยน็อคดาวน์กับการใช้งาน

รู้หรือไม่ว่าหลาย ๆ ครั้ง ในโรงงานอุตสาหกรรมและโกดังสินค้า ต้องเผชิญกับปัญหาความแออัดของพื้นที่ใช้สอย ตลอดจนข้อจำกัดด้านการต่อเติมอาคารที่ทำให้ไม่สามารถขยายพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม
การประยุกต์ใช้งานโครงสร้างเหล็กอย่างชั้นลอยน็อคดาวน์ จึงกลายเป็นทางออกที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น การช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลาในการก่อสร้าง ตลอดจนการก้าวข้ามขีดจำกัดในเรื่องของพื้นที่ใช้สอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้ประกอบการสามารถนำชั้นลอยไปปรับใช้ได้กับ 5 ส่วน ดังนี้

คลังสินค้า

ด้วยคุณสมบัติด้านการใช้งานของชั้นลอยแบบน็อคดาวน์ ที่สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังสามารถรื้อถอนหรือขนย้ายได้ดั่งใจ ทำให้ช่วยประหยัดงบขยายคลังสินค้า แถมยังสามารถเก็บของได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

พื้นที่กระจายสินค้า

อีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรม นั่นคือพื้นที่สำหรับรองรับสินค้าจำนวนมาก ก่อนที่จะกระจายไปยังจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการนำชั้นลอยโครงเหล็กแบบน็อคดาวน์ไปปรับใช้ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในหลาย ๆ ด้าน เพราะนอกจากจะช่วยกระจายความหนาแน่นของการจัดเก็บสินค้าได้อย่างสะดวกแล้ว ยังง่ายต่อการขนส่งและสร้างความเป็นระเบียบในการกระจายสินค้าได้อีกด้วย

พื้นที่ผลิตสินค้า

สามารถช่วยบริหารฐานการผลิต ที่สามารถเพิ่มกำลังเครื่องจักรให้กับโรงงานอุตสาหกรรมได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ด้วยชั้นลอยน็อคดาวน์อเนกประสงค์ ตัวเลือกดี ๆ ที่จะช่วยขยายพื้นที่ในการทำงานได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง

พื้นที่ขายสินค้า

ตอบโจทย์ร้านขายสินค้า และ Outlet ที่อยากขยายพื้นที่ แต่มีข้อจำกัดด้านการต่อเติมอาคาร เพียงใช้ชั้นลอยน็อคดาวน์ ก็สามารถขยายพื้นที่อเนกประสงค์ได้อย่างสะดวก อีกทั้งไอเดียการติดตั้งชั้นลอยยังช่วยประหยัดงบได้มากกว่า

สำนักงานออฟฟิศ

สร้างพื้นที่สำนักงานในคลังสินค้าได้ง่ายขึ้น แค่ใช้ชั้นลอยโครงสร้างเหล็กน็อคดาวน์มาติดตั้ง ออฟฟิศชั่วคราวก็พร้อมใช้งาน ตอบโจทย์การประสานงานในคลังสินค้าได้แบบครบวงจร แถมยังประหยัด รื้อถอนสะดวก หรือติดตั้งใหม่ได้อย่างง่ายดาย

ข้อดีของชั้นลอยน็อคดาวน์ที่มีต่อโรงงานอุตสาหกรรม

  1. ออกแบบมาให้ประกอบและติดตั้งได้ง่าย สะดวกต่อการขนย้ายได้รวดเร็ว
  2. เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้อย่างคุ้มค่า ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขยายพื้นที่ได้มากกว่า
  3. สามารถดัดแปลงการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
  4. สามารถออกแบบชั้นลอยน็อคดาวน์ได้สูงกว่า 2-3 ชั้น
  5. สะดวก ปลอดภัย พร้อมรองรับน้ำหนักได้อย่างมั่นคง
หากผู้ประกอบการท่านใดที่ต้องการขยายพื้นที่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในคลังสินค้า ชั้นลอยน็อคดาวน์คือหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างมาก และเป็นหนึ่งในชั้นลอยน็อคดาวน์บริการที่มีประสิทธิภาพจาก Tellus เพราะเราคือผู้นำนวัตกรรมการจัดเก็บและจัดวางสินค้าที่ผู้ประกอบการไว้วางใจ สนใจสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-643-8044-8 หรือ Line @tellussystems @tellussystems.